การจัดการเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery
Learning)
ความเป็นมาของการเรียนเพื่อรอบรู้
จอห์น
คาร์รอล (John B. Carroll) ผู้มองการเรียนรู้ว่ามีความสัมพันธ์กับเวลาที่ผู้เรียนได้รับในการเรียนรู้
คาร์รอลเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์
หากผู้เรียนได้รับเวลาที่จะเรียนรู้เรื่องนั้นๆ อย่างเพียงพอตามความต้องการของตน
ซึ่งความต้องการนั้นย่อมขึ้นกับลักษณะของผู้เรียนและลักษณะของการสอน
ผู้เรียนที่มีความถนัดสูงจะใช้เวลาน้อยกว่าผู้เรียนที่มีความถนัดต่ำกว่า
การสอนที่มีคุณภาพสูงจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าการสอนที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งต่อมา บลูม (Bloom)
ได้เพิ่มเติมแนวคิดว่า (Block
& Anderson,1975 : 1-6 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2547 :
126-127) ในการเรียนรู้เรื่องใดๆ ก็ตาม
ผู้เรียนที่มีความสามารถทางสติปัญญาหรือความถนัดแตกต่างกันสามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ได้เช่นเดียวกันทุกคน
หากผู้เรียนได้รับโอกาสในการเรียนรู้และคุณภาพการสอนที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละบุคคล
ดังนั้น การจัดการเรียนรู้เพื่อรอบรู้นี้
จึงถือได้ว่าใช้หลักการจัดการเรียนการสอนแบบเอกัตภาพ
หรือการจัดการเรียนการสอนเป็นรายบุคคลเช่นกัน
ความหมายของการเรียนเพื่อรอบรู้
การเรียนเพื่อรอบรู้
ซึ่งสามารถนิยามได้ว่า การจัดการเรียนเพื่อรอบรู้ หมายถึง กระบวนการในการดำเนินการให้ผู้เรียนทุกคน
ซึ่งมีความสามารถและสติปัญญาแตกต่างกัน สามารถเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง ((Block &
Anderson,1975 : 25-55 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2547 : 127) โดยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้อย่างละเอียดและเป็นไปตามลำดับขั้น
และวางแผนการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนแต่ละคน
หรือแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการเหมือนกัน ให้สนองตอบความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียน
จากการแสวงหาวิธีการ สื่อ หรือนวัตกรรมต่างๆ มาช่วยจนผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ครบทุกจุดประสงค์
การเรียนรู้เพื่อรอบรู้นี้ จึงมีผู้ใช้ชื่อต่างๆ กัน ซึ่งอาจเรียกว่า
การเรียนแบบรู้แจ้ง การเรียนแบบรู้จริง หรือการเรียนแบบรู้รอบ ซึ่งผู้เขียน
เห็นว่าในที่นี้ควรเรียกว่า “การเรียนเพื่อรอบรู้” เพราะผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ให้รอบรู้ในเรื่องต่างๆ ได้
อย่างเท่าเทียมกัน หากผู้เรียนได้รับเวลาที่จะเรียนรู้เรื่องนั้นๆอย่างเพียงพอตามความต้องการเพื่อ
ความรอบรู้ของตนเอง
รูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้
จากแนวคิดของ Carroll และ Bloom ที่ได้เสนอรูปแบบการเรียนเพื่อรอบรู้ไว้แล้วนั้น ต่อมา Hotchkis (1986 อ้างถึงใน
จงจิต ตรีรัตนธำรง, 2543) อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแมคไคว์รี
ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเรียนเพื่อรอบรู้ พบว่า
องค์ประกอบการเรียนรู้ของ Carroll ยังขาดประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
คือ ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ส่วนทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ของ Bloom ซึ่งได้แนวคิดมาจาก Carroll แม้จะเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้นแต่ยังขาดปัจจัยที่สำคัญ
คือ เครื่องมือที่เหมาะสมกับการสอนเป็นกลุ่ม
ในสภาพของห้องเรียนที่มีผู้เรียนจำนวนมาก Hotchkis
จึงได้เสนอแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยได้เสริมปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
คือ ประสบการณ์ก่อนเรียน
และได้นำแนวคิดของการพัฒนาการเรียนรู้ตามเส้นโค้งของความถี่สะสม
ซึ่งมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับหลักการเรียนเพื่อรอบรู้มาพัฒนาขั้นตอนการสอน แบ่งออกเป็น
5 ขั้น คือ
ขั้นการรับรู้ (Acquisition) ในขั้นนี้
ครูเริ่มเสนอเนื้อหาใหม่ให้แก่ผู้เรียน
ผู้เรียนเริ่มเรียนรู้และจะได้รับปัจจัยสำคัญด้านต่างๆ ได้แก่ เจตคติ
ความคิดรวบยอด ความรู้ ความเข้าใจ ผู้เรียนจะเริ่มลองผิดลองถูกกับสิ่งที่เรียนรู้
ความถูกต้องและความแม่นยำในการเรียนรู้จะมีน้อย ในขั้นนี้
ครูผู้สอนควรดำเนินการดังนี้ Mastery
• จัดเรียงเนื้อหาในหลักสูตรตามลำดับความยากง่าย
ให้เนื้อหามีความสัมพันธ์กัน
• กำหนดเวลาที่เหมาะสมในการเรียนแต่ละบทเรียน
• เตรียมแบบทดสอบซึ่งประกอบด้วยแบบทดสอบย่อยและแบบทดสอบรวม
• กำหนดแผนการสอน
โดยเน้นการสอนให้เกิดความคิดรวบยอดแก่ผู้เรียนเป็นสำคัญ เมื่อทำการสอน ครูควรสังเกตในเรื่องต่อไปนี้
o ความเหมาะสมของเวลาที่ให้ผู้เรียนแต่ละคน
และแต่ละบทเรียน
o ความยากง่ายเหมาะสมกับทักษะพื้นฐานของผู้เรียน
o ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเรียนรู้ของนักเรียน
ขั้นเกิดความคล่องตัว (Fluency) ในขั้นนี้ ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนทักษะ จนเกิดความคล่องแคล่ว
ในเนื้อหา
หลังจากผู้เรียนได้เรียนรู้และเกิดความคิดรวบยอดที่ถูกต้องแล้ว
การปฏิบัติของผู้เรียนจะเพิ่มความถูกต้องมากขึ้น ดังนั้น
ผู้สอนต้องเตรียมกิจกรรมการสอนให้มากพอ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนเกิดความคล่องแคล่ว
แม่นยำ และรวดเร็วในบทเรียน
ขั้นเกิดความคงทน (Maintenance) ขั้นนี้สืบเนื่องมาจากความคล่องตัวในเนื้อหา
อันเนื่องมาจากการฝึกปฏิบัติของผู้เรียนในขั้นที่ 2 ความคงทนของความรู้ที่ได้รับจะอยู่ได้นานและไม่ลืม
เนื่องจากมีความแม่นยำในสิ่งที่เรียนจากการปฏิบัติและประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมาหลายครั้งแล้ว
วิธีการที่จะพิจารณาว่าผู้เรียนจำได้นานและถาวรในส่วนที่มีความจำเป็นต่อการเรียนในบทเรียนต่อไป
คือ การทดสอบอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งมอบหมายงานที่ทำ เพื่อให้รู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ขั้นนำไปประยุกต์ใช้ (Application) ในขั้นนี้
เมื่อผู้เรียนมีความชำนาญในความรู้ที่เรียนมาการนำไปใช้ในที่นี้
เป็นการเพิ่มประสบการณ์ของผู้เรียน
โดยเน้นที่การแก้ปัญหาจากเหตุการณ์สมมติในห้องเรียน ทั้งนี้
เป็นความจำเป็นของครูที่ต้องพิจารณาว่า การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ของผู้เรียน
ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมเป็นประจำ ครูอาจนำเหตุการณ์ทั้งหมดมากำหนดเป็นภาพการแก้ปัญหาเพียงเล็กน้อย
สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่มีโอกาสเห็น
ครูควรจัดสอนหรือให้เป็นข้อแก้ปัญหาให้มากและบ่อยครั้ง
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแก้ปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
และเป็นการเพิ่มความชำนาญในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้เรียนด้วย
ขั้นปรับใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ (Adaptation) ในขั้นนี้
ผู้เรียนจะสามารถนำความรู้มาดัดแปลงหรือปรับใช้ได้ทุกๆ
สถานการณ์ที่ผู้เรียนมีโอกาสในการแก้ปัญหาจริงในชีวิตประจำวัน
ซึ่งอาจจัดเป็นเหตุการณ์สมมติ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นแนวทาง โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ
ถ้าผู้เรียนไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ถูกต้องในชั้นเรียน
ผู้เรียนต้องคิดตัดสินใจและลงมือกระทำด้วยตนเอง หากเกิดข้อผิดพลาด
ผู้เรียนจะพยายามทบทวนและหาแนวทางแก้ไขต่อไปด้วยตนเองตัวบ่งชี้ของการเรียนเพื่อรอบรู้ ในการเรียนเพื่อรอบรู้ ตั วบ่งชี้ที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ให้กับผู้เรียน กล่าวคือ
ผู้สอนต้องกำหนดวัตถุประสงค์อย่างละเอียดในการเรียนรู้เนื้อหาสาระ
มีการจัดกลุ่มวัตถุประสงค์ที่ต้องบ่งบอกถึงสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องกระทำให้ได้
เพื่อแสดงว่าตนเองได้เกิดการเรียนรู้จริงในสาระนั้นๆ โดยจะต้องจัดเรียงจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อนขึ้น
มีการวางแผนการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม
ให้สามารถสนองตอบความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียน ซึ่งอาจเป็นการใช้สื่อการเรียน
วิธีการสอน หรือให้เวลาที่แตกต่างกันเพื่อช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด
มีการชี้แจงให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย วิธีการในการเรียนรู้
ระเบียบ กติกา ข้อตกลงต่างๆ เกี่ยวกับการทำงาน
มีการดำเนินการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดไว้และมีการประเมินการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
โดยคอยให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล หากผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่งที่กำหนดไว้แล้ว
จึงจะมีการดำเนินการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ข้อถัดไปได้
หากผู้เรียนยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ผู้สอนจะต้องมีการวินิจฉัยปัญหาและความต้องการของผู้เรียน และ จัดโปรแกรมสอนซ่อมเสริมในส่วนที่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
แล้วจึงทำการประเมินผลอีกครั้งหนึ่ง หากผู้เรียนสามารถทำได้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
จึงจะสามารถดำเนินการเรียนรู้ในวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หากยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์
ผู้สอนจะต้องมีการแสวงหาวิธีการ สื่อ แบบฝึกหัด หรือนวัตกรรมอื่นๆ มาช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ
จนกระทั่งเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์นั้น
ผู้เรียนมีการดำเนินการเรียนรู้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ตามลำดับของวัตถุประสงค์ที่กำหนด จนกระทั่งบรรลุครบตามทุกวัตถุประสงค์ที่กำหนด
ซึ่งผู้เรียนจะใช้เวลามากน้อยต่างกันตามความถนัดและความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน
และผู้สอนมีการติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของผู้เรียน
และเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
และมีการใช้ข้อมูลในการวางแผนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนต่อไป
เกณฑ์การรอบรู้ (Mastery Criterion)
การจัดการเรียนการสอนโดยอาศัยหลักการเรียนเพื่อรอบรู้นั้น
มีขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่ง คือ
การกำหนดเกณฑ์ของสัมฤทธิ์ผลในการเรียนการสอนตามจุดประสงค์การเรียน ซึ่งเรียกว่า
เกณฑ์การรอบรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ศึกษาเรื่อง ทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้
ต่างให้ความสำคัญของเกณฑ์การรอบรู้ แต่ยังไม่มีใครกล่าวถึงเกณฑ์ที่เหมาะสมไว้อย่างชัดเจน
นอกจาก Bloom ซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด
ได้เสนอแนะเกณฑ์การรอบรู้ไว้ว่า อาจจะเป็น 80-90 % นอกจากนี้ได้มีผู้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับการเรียนเพื่อรอบรู้
และได้เสนอแนะเกณฑ์การรอบรู้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการสอนเพื่อรอบรู้ 2
ขั้นตอน คือ
1. ขั้นการทดสอบ เมื่อผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังจากเรียนจบหน่วยแล้ว
คะแนนจากแบบทดสอบจะชี้ให้เห็นว่า นักเรียนเกิดการรอบรู้ในหน่วยการเรียนหรือยัง
โดยเทียบกับเกณฑ์การรอบรู้ที่ได้กำหนดไว้
2. ขั้นการสอนซ่อมเสริมและการแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง
เมื่อผู้เรียนทำแบบทดสอบแล้วไม่ผ่านหรือไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
ผู้เรียนจะต้องได้รับการสอนซ่อมเสริมหรือการแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง
จนผู้เรียนเกิดการรอบรู้ในเนื้อหาที่เรียนถึงเกณฑ์การรอบรู้ที่ได้กำหนด
นอกจากนี้
การประเมินผลการเรียนเพื่อนำไปสู่การรอบรู้
มักจะกำหนดเกณฑ์การรอบรู้โดยการประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced)
มากกว่าอิงกลุ่ม (norm-referenced) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนออกเป็นหน่วยๆ
นอกจากจะทำให้กระบวนการเรียนในครั้งหนึ่งๆ หรือหน่วยหนึ่งๆ ชัดเจนแล้ว
ยังทำให้การประเมินผลชัดเจน หากสามารถจัดแบ่งและลำดับหน่วยการเรียนได้เหมาะสม
บทสรุป
การเรียนเพื่อรอบรู้
(Mastery Learning) ถือเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ครูทุกท่านสามารถนำไปปฏิบัติได้
โดยมีความเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนจนรอบรู้ได้
ถ้ามีเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ตามที่ต้องการ
เป็นการช่วยให้ทุกคนได้เรียนรู้และช่วยเปลี่ยนอัตมโนทัศน์ของผู้เรียนที่เรียนช้าให้มีความรู้สึกมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น
และมีความพยายามตั้งใจที่จะเรียนรู้
จัดเป็นการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญที่ความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีความแตกต่างกัน การสอนจะเริ่มที่การทบทวนความรู้พื้นฐานก่อน
ด้วยการทดสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนแต่ละคน ถ้าหากพบข้อบกพร่อง
จะต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงทันที เพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันนั้น
มีความรู้ใกล้เคียงกัน ก่อนดำเนินกิจกรรมการสอน
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เน้นคุณภาพการสอน อันประกอบด้วย การชี้แนะ การให้แรงจูงใจ
การให้นักเรียนมีส่วนร่วม และการแก้ไขข้อบกพร่องในการเรียน
ดังนั้น
การเรียนเพื่อรอบรู้ จะมีประสิทธิภาพสูงสุด
ถ้าครูผู้สอนได้แก้ไขข้อบกพร่องโดยการซ่อมเสริมอย่างเป็นระบบ
ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนทุกคนได้มีโอกาสประสบความสำเร็จตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
และยังลดปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากไม่มีการแข่งขันกันโดยมีความเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนจนรอบรู้ได้
ถ้ามีเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นที่มาของการเรียนเพื่อรอบรู้ (Mastery Learning)